ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาสำคัญศาสนาหนึ่งของโลก มีคนนับถือประมาณ 1,600 ล้านคน นับว่ามีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสองในโลก พื้นที่รวมของกลุ่มประเทศมุสลิมทั้งหมดประมาณ 34,722,286 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ลองจิจูด 141 องศาตะวันออก ทางด้านตะวันออกของเขตพรมแดนประเทศอินโดนีเซีย ทอดยาวไปจนถึงลองจิจูด 17.29 องศาตะวันตก ณ กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล (Senegal) ซึ่งอยู่ในภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา จนถึงละติจูด 55.26 องศาเหนือ บริเวณเส้นเขตแดนตอนเหนือของประเทศคาซัคสถาน ทอดยาวเรื่อยไปจนถึงเส้นเขตแดนทางตอนใต้ของประเทศแทนซาเนีย ที่ละติจูด 11.44 องศาใต้
ในโลกของเรานี้มีจำนวนประเทศกว่า 200 ประเทศ เป็นประเทศมุสลิมกว่า 67 ประเทศ ในประเทศไทยมีศาสนาอิสลามเข้ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ศาสดาของศาสนาอิสลามคือ มุฮัมหมัด
ศาสนาอิสลาม คือ ความศรัทธา ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติและจริยธรรม ซึ่งบรรดาศาสดา ที่อัลลอฮฺ ได้ประทานลงมาเป็นผู้นำ เพื่อมาสั่งสอนและแนะนำแก่มวลมนุษยชาติ สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เรียกว่า ดีน หรือ ศาสนา นั่นเอง ผู้ที่มีความศรัทธาจะตระหนักอยู่เสมอว่า ชีวิตของเขาได้พันธนาการเข้ากับอำนาจสูงสุดของพระผู้ทรงสร้างโลก ในทุกสถานภาพของเขาจะรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า และมอบหมายตนเองให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ตลอดเวลา เขาเป็นผู้มีจิตใจมั่นคงและมีสมาธิเสมอ
เนื้อหา[ซ่อน] |
[แก้]ความหมายของ อิสลาม
อิสลามคือรูปแบบการดำเนินชีวิตทีถูกกำหนดโดยผู้ที่รู้รายละเอียดของมนุษย์มากที่สุดก็คือผู้สร้าง..อัลลอฮฺ
คำว่า อัลลอฮฺ แปลว่า พระเจ้า ซึ่งเป็นคำเรียกเฉพาะที่แยกออกจากคำในภาษาอาหรับอื่นๆที่มีความหมายว่า พระเจ้า
อิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ (ภาษาอาหรับ: الإسلام) แปลว่า การสวามิภักดิ์ ซึ่งหมายถึงการสวามิภักดิ์อย่างบริบูรณ์แด่ อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ อิสลาม มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัส-สิลมฺ หมายถึง สันติ โดยนัยว่าการสวามิภักดิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้มนุษย์ได้พบกับสันติภาพทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนามนุษยชาติตลอดกาล ตั้งแต่แรกเริ่มของการกำเนิดของมนุษย์ คือนบีอาดำ ผ่านศาสดามาหลายท่านในแต่ละยุคสมัย จนถึงศาสดาท่านสุดท้ายคือมุฮัมหมัด และส่งผ่านมายังปัจจุบันและอนาคต จนถึงวันสิ้นโลก
บรรดาศาสนทูตในอดีตล้วนแต่ได้รับมอบหมายให้สอนศาสนาอิสลามแก่มนุษยชาติ ศาสนทูตท่านสุดท้ายคือนมุฮัมหมัด บุตรของอับดุลลอฮฺ บินอับดิลมุฏฏอลิบ จากเผ่ากุเรชแห่งอารเบีย ได้รับมอบหมายให้เผยแผ่สาส์นของอัลลอฮ์ในช่วงปี ค.ศ. 610 - 633 เฉกเช่นบรรดาศาสดาในอดีต โดยมี มะลักญิบรีล เป็นสื่อระหว่างอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาศาสดาท่านต่างๆมาโดยตลอด
พระโองการแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ทะยอยลงมาในเวลา 23 ปี ได้รับการรวบรวมขึ้นเป็นเล่มมีชื่อว่า อัลกุรอาน ซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตมนุษย์ และแบบอย่าง และวจนะที่รายงานโดยบุคคลรอบข้างที่ผ่านการกลั่นกรองสายรายงานแล้วเรียกว่า ฮะดีษ เพื่อที่มนุษย์จะได้ยึดเป็นแบบอย่าง และแนวทางในการครองตนบนโลกนี้อย่างถูกต้องก่อนกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า
สาส์นแห่งอิสลามที่ถูกส่งมาให้แก่มนุษย์ทั้งมวลมีจุดประสงค์หลัก 3 ประการคือ:
- เป็นอุดมการณ์ที่สอนมนุษย์ให้ศรัทธาในอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ที่สมควรแก่การเคารพบูชาและภักดีโดยไม่นำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเทียบเคียง ศรัทธาในความยุติธรรมของพระองค์ ศรัทธาในพระโองการแห่งพระองค์ ศรัทธาในวันปรโลก วันซึ่งมนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเพื่อรับการพิพากษา และรับผลตอบแทนของความดีความชั่วที่ตนได้ปฏิบัติไปในโลกนี้ มั่นใจและไว้วางใจต่อพระองค์ เพราะพระองค์คือที่พึ่งพาของทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จะต้องไม่สิ้นหวังในความเมตตาของพระองค์ และพระองค์คือปฐมเหตุแห่งคุณงามความดีทั้งปวง
- เป็นธรรมนูญสำหรับมนุษย์ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตส่วนตัว และสังคม เป็นธรรมนูญที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ หรือนิติศาสตร์ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ไปจนกระทั่งระดับรัฐ อิสลามสั่งสอนให้มนุษย์อยู่กันด้วยความเป็นมิตร ละเว้นการรบราฆ่าฟันโดยไม่มีเหตุอันควร การทะเลาะเบาะแว้ง การละเมิดและรุกรานสิทธิของผู้อื่น ไม่ลักขโมย ฉ้อฉล หลอกลวง ไม่ผิดประเวณี หรือทำอนาจาร ไม่ดื่มของมึนเมาหรือรับประทานสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกายและจิตใจ ไม่บ่อนทำลายสังคมแม้ว่าในรูปแบบใดก็ตาม
- เป็นจริยธรรมอันสูงส่งเพื่อการครองตนอย่างมีเกียรติ เน้นความอดกลั้น ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวที ความสะอาดของกายและใจ ความกล้าหาญ การให้อภัย ความเท่าเทียม และความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ การเคารพสิทธิของผู้อื่น สั่งสอนให้ละเว้นความตระหนี่ถี่เหนียว ความอิจฉาริษยา การติฉินนินทา ความเขลาและความขลาดกลัว การทรยศและอกตัญญู การล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
อิสลามเป็นศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นทางนำในการดำรงชีวิตทุกด้านตั้งแต่ตื่นจนหลับ และตั้งแต่เกิดจนตาย แก่มนุษย์ทุกคน ไม่ยกเว้น อายุ เพศ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ฐานันดรหรือ ยุคสมัย ใด
[แก้]หลักคำสอน
หลักคำสอนของศาสนาอิสลามแบ่งไว้ 3 หมวดดังนี้
- หลักการศรัทธา
- หลักจริยธรรม
- หลักการปฏิบัติ
[แก้]หลักการศรัทธา
อิสลามสอนว่า ถ้าหากมนุษย์ พิจารณาด้วยสติปัญญาและสามัญสำนึกจะพบว่า จักรวาลและมวลสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ มิได้อุบัติขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นที่แน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้ถูกอุบัติขึ้นมาโดยพระผู้สร้าง ผู้ทรงสูงสุดเพียงพระองค์เดียว ที่ไม่แบ่งภาค หรือแบ่งแยกเป็นสิ่งใด ไม่ถูกบังเกิด ไม่ถูกกำเนิด และไม่ให้กำเนิดบุตร ธิดาใดๆ ผู้ทรงสร้าง และบริหารสรรพสิ่งด้วยอำนาจและความรอบรู้ที่ไร้ขอบเขต ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ที่โดยทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือไว้ทั่วทั้งจักรวาลหรือที่เข้าใจว่าเป็น"กฎธรรมชาติ" ทรงขับเคลื่อนจักรวาลด้วยระบบที่ละเอียดอ่อน มีเป้าหมาย ซึ่งไม่มีสรรพสิ่งใดถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร้สาระ
พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างประเสริฐจะเป็นไปได้อย่างไร ที่พระองค์จะปล่อยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ไปตามลำพัง โดยไม่ทรงเหลียวแล หรือปล่อยให้สังคมมนุษย์ และสิ่งมีชีวิต กำเนิดขึ้น แล้วดำเนินไปตามยถากรรมของตัวเอง สภาวะแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่จึงเป็นความพอดีอย่างทีสุดที่ผู้ใช้ปัญญา ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย"ความบังเอิญ" สอดคล้องตามทฤษฎีความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์
พระองค์ทรงขจัดความสงสัยเหล่านี้ ด้วยการประทานกฎการปฏิบัติต่าง ๆ ผ่านบรรดาศาสดา ให้มาสั่งสอนและแนะนำมนุษย์ไปสู่การปฏิบัติ สำหรับการดำเนินชีวิต แน่นอนมนุษย์อาจมองไม่เห็นผล หรือได้รับประโยชน์จากการทำความดี หรือได้รับโทษจากการทำชั่ว ของตนในชีวิตบนโลกนี้ ที่เป็นเพียงโลกแห่งการทดสอบ โลกแห่งการตอบแทนที่แท้จริงยังมาไม่ถึง
จากจุดนี้ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า ต้องมีสถานที่อื่นอีก อันเป็นสถานที่ตรวจสอบการกระทำของมนุษย์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถ้าเป็นความดีพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทน แต่ถ้าเป็นความชั่วกจะถูกลงโทษไปตามผลกรรมนั้น ศาสนาได้เชิญชวนมนุษย์ไปสู่หลักการศรัทธา และความเชื่อมั่นที่สัตย์จริง พร้อมพยายามผลักดันมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความโง่เขลาเบาปัญญา ระบอบการกดขี่ การแบ่งชั้นวรรณะ และบังเกิดสันติสุขของมนุษยชาติโดยรวมในที่สุด
[แก้]หลักศรัทธาอิสลามแนวท่านศาสดาที่เชื่อถือได้ (ซุนนีย์)
- ศรัทธาว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้า
- ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ต่าง ๆ ที่อัลลอหฺประทานลงมาในอดีต เช่น เตารอต อินญีล ซะบูร และอัลกุรอาน
- ศรัทธาในบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ และนบีมุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นศาสนทูตคนสุดท้าย
- ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ บ่าวผู้รับใช้อัลลอฮฺ
- ศรัทธาในวันสิ้นสุดท้าย คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้
- ศรัทธาในกฎสภาวะ หรือ สิ่งที่เป็นการกำหนด และเงื่อนไขการกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้า
[แก้]หลักจริยธรรม
ศาสนาสอนว่า ในการดำเนินชีวิตจงเลือกสรรเฉพาะสิ่งที่ดี อันเป็นที่ยอมรับของสังคม จงทำตนให้เป็นผู้ดำรงอยู่ในศีลธรรม พัฒนาตนเองไปสู่การมีบุคลิกภาพที่ดี เป็นคนที่รู้จักหน้าที่ ห่วงใย มีเมตตา มีความรัก ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น รู้จักปกป้องสิทธิของตน ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เป็นผู้มีความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว และหมั่นใฝ่หาความรู้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของผู้มีจริยธรรม ซึ่งความสมบูรณ์ทั้งหมดอยู่ที่ความยุติธรรม
[แก้]หลักการปฏิบัติ
ศาสนาสอนว่า กิจการงานต่าง ๆ ที่จะทำนั้น มีความเหมาะสมกับตนเองและสังคม ขณะเดียวกันต้องออกห่างจากการงานที่ไม่ดี ที่สร้างความเสื่อมเสียอย่างสิ้นเชิง
ส่วนการประกอบคุณงามความดีอื่น ๆ การถือศีลอด การนมาซ และสิ่งที่คล้ายคลึงกับสิ่งเหล่านี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเป็นบ่าวที่จงรักภักดี และปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ กฎเกณฑ์และคำสอนของศาสนา ทำหน้าที่คอยควบคุมความประพฤติของมนุษย์ ทั้งที่เป็นหลักศรัทธา หลักปฏิบัติและจริยธรรม
เราอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ละเมิดคำสั่งต่าง ๆ ของศาสนา มิได้ถือว่าเขาเป็นผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง หากแต่เขากระทำการต่าง ๆ ไปตามอารมณ์และความต้องการใฝ่ต่ำของเขาเท่านั้น
ศาสนาอิสลามในความหมายของอัล-กุรอานนั้น หมายถึง "แนวทางในการดำเนินชีวิต ที่มนุษย์จะปราศจากมันไม่ได้" ส่วนความแตกต่างระหว่างศาสนากับกฎของสังคมนั้น คือศาสนาได้ถูกประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า ส่วนกฎของสังคมเกิดขึ้นจากความคิดของมนุษย์ อีกนัยหนึ่ง ศาสนาอิสลามหมายถึง การดำเนินของสังคมที่เคารพต่ออัลลอหฺ และเชื่อฟังปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์
อัลลอฮ์ ทรงตรัสเกี่ยวกับศาสนาอิสลามว่า "แท้จริง ศาสนา ณ อัลลอฮฺ คืออิสลาม และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์มิได้ขัดแย้งกัน นอกจากภายหลังที่ความรู้มาปรากฏแก่พวกเขาเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเอง และผู้ใดปฏิเสธต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์แล้วไซร้ แน่นอน อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ" (อัลกุรอาน อาลิอิมรอน:19)
[แก้]ศาสนวินัย นิติศาสตร์และการพิพากษา
- วาญิบ คือหลักปฏิบัติภาคบังคับที่มุกัลลัฟ (มุสลิมผู้อยู่ในศาสนนิติภาวะ) ทุกคน ต้องปฏิบัติตาม ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงทัณฑ์ เช่นการปฏิบัติตาม ฐานบัญญัติของอิสลาม (รุกน) ต่าง ๆ การศึกษาวิทยาการอิสลาม การทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เป็นต้น
- ฮะรอม คือกฏบัญญัติห้ามที่มุกัลลัฟทุกคนต้องละเว้น ผู้ที่ไม่ละเว้นจะต้องถูกลงทัณฑ์
- ฮะลาล คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ อันได้แก่ การนึกคิด วาจา และการกระทำที่ศาสนาได้อนุมัติให้ เช่น การรับประทานเนื้อปศุสัตว์ที่ได้รับการเชือดอย่างถูกต้อง การค้าขายโดยสุจริตวิธี การสมรสกับสตรีตามกฏเกณฑ์ที่ได้ระบุไว้ เป็นต้น
- มุสตะฮับ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ซุนนะฮฺ (ซุนนะห์, ซุนนัต) คือกฏบัญญัติชักชวนให้มุสลิม และมุกัลลัฟกระทำ หากไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนศาสนวินัย โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการใช้น้ำหอม การขริบเล็บให้สั้นเสมอ การนมาซนอกเหนือการนมาซภาคบังคับ
- มักรูฮฺ คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ แต่พึงละเว้น คำว่า มักรูหฺ ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า น่ารังเกียจ โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นน่ารังเกียจ การสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขัดต่อกาลเทศะ เป็นต้น
- มุบาฮฺ คือสิ่งที่กฏบัญญัติไม่ได้ระบุเจาะจง จึงเป็นความอิสระสำหรับมุกัลลัฟที่จะเลือกกระทำหรือละเว้น เช่นการเลือกพาหนะ อุปกรณ์เครื่องใช้ หรือ การเล่นกีฬาที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติห้าม
[แก้]ฐานบัญญัติอิสลาม (รุกุน) ของซุนนีย์
- การปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอหฺและมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอหฺ
- ดำรงการละหมาด วันละ 5 เวลา
- จ่ายซะกาต
- ถือศีลอดในเดือนรอมะฎอนทุกปี
- บำเพ็ญฮัจญ์ หากมีความสามารถ
[แก้]กฎบัญญัติห้ามในอิสลาม (ฮะรอม)
# การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ
|
|
- ด้านสิทธิมนุษยชน (Apostasy in Islam) ในมุมมองของคนไม่ใช่มุสลิม กฎหมายอิสลามมีการลงโทษที่รุนแรงเกินโทษที่ควรได้รับ โดยการเฆี่ยน ตัดมือ ประหารโดยการขว้างด้วยหิน แขวนคอ ตัดคอ แต่กระนั้นการที่อิสลามมีบทบัญญัติการลงโทษที่รุนแรงนั้นเนื่องจาก อิสลามเน้นการป้องกันปัญหามากกว่าการแก้ปัญหา อีกทั้งบทลงโทษที่รุนแรงส่วนใหญ่จะใช้สำหรับความผิดที่ก่อให้เกิดผลกระทบในระยะยาวหรือไม่ก็ส่งผลต่อคนหมู่มาก และเป็นความผิดที่มีข้อพิสูจน์ หรือหลักฐานที่ชัดเจน เช่นผู้ที่ถูกขว้างด้วยหิน คือผู้ที่มีพยาน 4 คนรู้เห็นการร่วมเพศอย่างชัดเจนของผู้ที่แต่งงานแล้ว จึงเห็นได้ว่าสถิติการก่ออาชญากรรม การหย่าร้าง การทำแท้ง หรือการแพร่ระบาดของกามโรคต่างๆในประเทศที่บังคับใช้กฎหมายอิสลาม จะน้อยกว่าประเทศเสรีอย่างเห็นได้ชัด
[แก้]ข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับบทวิจารณ์เกี่ยวกับอิสลาม ในมุมมองของอิสลาม
1. อิสลามกับการก่อการร้าย ( Islamic terrorism )....พื้นที่ที่มีชาวมุสลิมส่วนใหญ่จะมีปัญหาขัดแย้ง มีสงครามเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นเพราะศาสนาสอนให้ใช้ความรุนแรง จากการคลั่งศาสนาของบางกลุ่ม แต่หากพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว เบื้องหลังปัญหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเมือง ซึ่งในศาสนาอิสลามไม่ได้แยกศาสนาออกจากการเมือง หลายประเทศมีกฎหมายศาสนา ปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดการก่อการร้ายคือ การล่าอาณานิคมในรูปแบบต่างๆของตะวันตก การแย่งชิงทรัพยากรโดยเฉพาะน้ำมัน การต้องการแบ่งแยกดินแดนจากการกดขี่ เป็นต้น ก็มักเป็นกลุ่มคนที่ต้องการที่จะให้กฎหมายศาสนาในการปกครอง ทั้งมุสลิมที่รับผลประโยชน์ต่างตอบแทนเอง และคู่กรณี โดยอ้างว่า มุสลิมกลุ่มนั้น กลุ่มนี้เป็นผู้กระทำ และในส่วนของมุสลิมบางกลุ่มก็ได้อ้างเหตุก่อความรุนแรงว่ามาจากคำสอนของอิสลาม
2. เกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอ่าน (Criticism of the Qur'an) กุรอ่านถูกกล่าวหาว่าถูกอ้างว่าไม่ได้แต่งเติม ไม่มีผิดพลาด แต่กลับมีการขุดค้นพบอัลกุรอ่านฉบับเก่าแก่กว่าที่ใช้ในปัจจุบันที่ประเทศเยเมนชื่อว่า * Sana'a_manuscripts มุสลิมถือว่าคัมภีร์กุรอาน เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์ที่พินิจพิเคราะห์อย่างแท้จริงสามารถสัมผัสได้ ในหัวข้อที่กล่าวหาว่าคัมภีร์อัลกุรอ่านอธิบายปรากฏการณ์ด้านดาราศาสตร์และกระบวนการวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีการยอมรับและไม่ยอมรับ
3. ด้านสิทธิมนุษยชน (Apostasy in Islam) อิสลามถูกมองว่าไม่ยุติธรรมในเรื่องสถานภาพของผู้หญิง เช่น การจัดการมรดก การลงโทษผู้หญิงที่ผิดประเวณีอย่างรุนแรงด้วยการเฆี่ยนตี ประหารชีวิต เป็นต้น แม้อิสลามไม่ได้ให้อำนาจผู้หญิงมีการตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้เท่าผู้ชายในบางเรื่อง และการแบ่งแยกหญิงชายในแต่ละสถานที่อย่างเป็นสัดเป็นส่วน อิสลามส่งเสริมให้ผู้ชายทำหน้าที่หลักในการหาเลี้ยงครอบครัว และผู้หญิงทำหน้าที่หลักในการเลี้ยงดูบุตร และดูแลบ้าน ในเรืองการศึกษาอิสลามไม่ได้ห้ามไม่ให้ผู้หญิงศึกษาแต่อิสลามกลับส่งเสริมให้ทุกคนศึกษาหาความรู้ตั้งแต่ในเปลจนถึงหลุมฝังศพในทุกสาขาวิชาที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะความรู้ด้านศาสนา ที่จำเป็นที่จะต้องศึกษาให้รู้และเข้าใจในทุกด้าน การลงโทษประหารชีวิตพวกรักร่วมเพศ และผู้ที่ทำประเวณีนอกสมรสสำหรับผู้ที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วนั้น อิสลามถือเป็นการกระทำที่ชั่วช้าอย่างยิ่งเพราะอิสลามเป็นศาสนาที่ให้มนุษย์ดำรงไว้ซึ่งความเป็นมนุษย์ อิสลามจึงมีมาตรการที่เห็นผลในการหยุดพฤติกรรมที่สร้างความเสื่อมเสียแก่มนุษย์ในวงกว้าง พฤติกรรมที่สร้างค่านิยมเลียนแบบได้ง่าย และการสำส่อน ทั้งที่อิสลามเปิดกว้างเรื่องการแต่งงานหลายคนอย่างมีเงื่อนไข แต่ต้องไม่เกิน 4 คน และต้องสามารถให้ความยุติธรรม และเท่าเทียมกันได้ ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่จะมีระบอบที่ยกระดับผู้หญิงให้มีสถานะสูงขึ้นมาได้ เป็นการแก้ปัญหาการกดขี่ทางเพศโดยสัญชาติญาณเพศชาย และค่านิยม สอดรับกับข้อเท็จจริงทางเพศ และความเป็นจริงในปัจจุบันที่สัดส่วนทางเพศประชากรเปลี่ยนแปลงไป
[แก้]หมายเหตุ
ในศาสนาอิสลามนั้นไม่มีคำว่า นิกาย แต่จะใช้คำว่า มัซฮับ แทน (แปลว่า แนวทาง) ซึ่ง มีอยู่เพียง 4 มัซฮับเท่านั้น เนื่องจากแนวทางในแต่ละแนวทางไม่ได้แตกต่างกันมากนักและเป็นสิงที่ศาสนะทูตอาจเคยกระทำไว้ทั้งสิ้น หรือเป็นสิ่งที่มีหลักฐานการรายงาน แม้จะถูกคัดกรองในภายหลังแล้วว่าความน่าเชื่อถือของผู้รายงานในแต่ละเรื่องมีความน่าเชื่อถือไม่เท่าเทียมกันก็ตาม ..ส่วนนิกายอื่นเช่นชีอะฮ์ หรือ กอดญานีย์ ล้วนถูกปฏิเสธจากผู้สังกัดทั้งสองว่าอีกฝ่ายยังถือว่าเป็นศาสนาอิสลามทั้งสิ้น [1]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น